วิธีเรียนคอมพิวเตอร์ |
คำแนะนำต่อไปนี้แม้ว่าผู้พูดจะเชื่อตามสิ่งที่พูด
แต่ขอบอกไว้เป็นเบื้องต้นก่อนว่าหาได้คิดเอาเองก็หาไม่แต่สรุปมาจากงานวิจัย
บทความ
และหนังสือหลายๆเล่มก่อนที่จะตอบคำถามว่าเราจะมีวิธีเรียนคอมพิวเตอร์อย่างไรเราต้องรับรู้ร่วมกันเป็นเบื้องต้นก่อนว่า
โดยทั่วไปคอมพิวเตอร์ใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง
แน่นอนว่าคำตอบจะยืดยาวด้วยคุณวิเศษนานาประการแต่โดยสรุปคอมพิวเตอร์ก็คือเครื่องมือ
( Tool )
ที่มีประสิทธิภาพสูงมากๆอย่างหนึ่ง
แต่บังเอิญว่าเครื่องมือตัวนี้สามารถประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวางชนิดที่เรียกได้ว่าแทบไม่มีเครื่องมืออื่นใด
จะประยุกต์ใช้งานได้มากมายและยอดเยี่ยมอย่างนี้
ในฐานะเครื่องมือประโยชน์อย่างแท้จริงจึงอยู่ที่ผู้ใช้จะทำให้มันเกิดขึ้น
คอมพิวเตอร์แม้จะคำนวณเก่งและเร็วเท่าใดก็คงไม่ทำให้ผู้ใช้มันเป็นวิศวกรประดิษฐ์อะไรขึ้นมาได้ถ้าผู้ใช้ไม่รู้ว่าจะสั่งให้เครื่องทำอะไร
คอมพิวเตอร์ใช้ทำ Art
work
ได้อย่างเยี่ยมยอดแต่ถ้าผู้ใช้ไม่มีรสนิยมทางศิลปอะไรแม้แต่น้อยมันก็ไม่อาจสร้างงานศิลป์ใดๆออกมา
และเช่นเดียวกันคอมพิวเตอร์มันใช้เล่นดนตรีได้แต่งเพลงได้
แต่ถ้าเราไม่มีโน้ตสักตัวอยู่ในสมองมันก็ทำได้เพียงเล่นเพลงที่คนอื่นทำไว้เหมือนเมื่อเราเปิดเทป
คอมพิวเตอร์หาได้ทำให้เรากลายเป็นวิศวกร
ศิลปินหรือนักดนตรีอะไรขึ้นมาได้ดังที่กล่าวมาได้
ที่พูดถึงมานี้น่าคิดมาก
เช่นในกรณีเรากำลังฮิต Internet
กันทุกวันนี้หลายคนมีใช้ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว
ถามว่าเราตั้งใจจะใช้มันทำอะไร
เราจะใช้ข้อมูลอะไรบนอินเตอร์เน็ต
ดูรูปโป๊ หาโปรแกรมมาใช้ฟรีๆ E - mail
ไปคุยกับเพื่อน
หรือพอให้รู้ว่าตัวเองก็ทันสมัยใช้เป็น
ที่กล่าวมายืดยาวนี่คือกำลังจะถามเพื่อค้นถึงจุดมุ่งหมาย
ในการเรียน
ว่ามีความคิดที่ดีๆหรือยังว่าจะเรียนคอมพิวเตอร์เพื่อ
ใช้ประโยชน์อย่างใด
ในฐานะนักเรียนจะใช้เป็นแหล่งค้นคว้าหรือแหล่งความรู้หรือไม่
ถ้าเข้าไปเสาะหาดูแต่รูปโป๊
หาเกมเล่น
หาเพื่อนเพื่อคุยกันเรื่องไร้สาระมันก็คงได้แค่ประโยชน์ตามนั้น
ในฐานะนักเรียนอย่างพวกเราที่เกือบทุกคนเป้าหมายการเรียนคงเป็นระดับอุดมศึกษาอยู่แล้วคงตอบตัวเองได้ว่า
เราควรใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในเรื่องใดดี
เมื่อมาถึงตรงนี้ก็คงพูดกันได้แล้วว่าจะมีวิธีเรียนคอมพิวเตอร์อย่างไร
ศาสตราจารย์ ดร. ครรชิต มาลัยวงศ์
ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์ในระดับสูงแสดงความคิดเห็นไว้อย่างน่าฟังว่า
ในบ้านเมืองเราส่วนใหญ่โดยเฉพาะพวกสถาบันสอนคอมพิวเตอร์ตามห้องแถวทั้งหลาย
สอนให้เราเป็นแค่ผู้ใช้ ( end user )
และเป็นผู้ใช้ที่ไม่ค่อยฉลาดเสียด้วย
ความพยายามที่จะจดจำว่าโปรแกรมนี้มันใช้อย่างไรกดปุ่มไหน
ใช้เป็นยังไม่ถึงครึ่งเขาเลิกใช้หรือเปลี่ยนเวอร์ชั่นใหม่ออกมาอีกแล้ว
คอมพิวเตอร์เป็นวิทยาการแขนงหนึ่งทางด้านวิทยาศาสตร์
ในชั้นหนังสือในห้องสมุด(
ที่จัดระบบแบบรัฐสภาอเมริกัน )
คอมพิวเตอร์อยู่ในตู้แถบเดียวกันกับคณิตศาสตร์
ดังนั้นวิธีการเรียนจึงน่าจะใช้วิธีเดียวกับเรียนคณิตศาสตร์
และวิทยาศาสตร์
การท่องจำเป็นวิธีที่แย่มากๆสำหรับการเรียนคอมพิวเตอร์เพราะสิ่งที่มีให้จำมีมากเกินไป
ต้องรู้จักการจำอย่างเข้าใจและมีเหตุผล
การเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก
การแก้ปัญหาแบบวิทยาศาสตร์
เป็นวิธีการที่ดีมากๆสำหรับการเรียนคอมพิวเตอร์
เมื่อทำตรงนี้ไม่ได้ก็ต้องคิดหาทางแก้ปัญหาว่าเป็นเพราะอะไร
ทางเลือกที่น่าจะเป็นคืออะไร
ค่อยๆตัดหนทางที่ทดลองแล้วไม่เป็นผลออก
สรุปก็คือฝึกแก้ปัญหา
และค้นหาคำตอบโดยวิธีการทดลอง
ในหนังสือภาษาอังกฤษการทดลองทำงานกับคอมพิวเตอร์เขาใช้คำว่า
Play คือต้องพยายามเล่น
โปรแกรมไหนเราต้องการนำมาใช้งานเราต้องพยายามลองเล่นดู
ค่อยๆสังเกตว่าโปรแกรมเขามีระบบติดต่อกับผู้ใช้
( User interface ) อย่างไร
ส่วนใหญ่คนทำโปรแกรมเขาหาวิธีที่จะทำให้เราใช้ง่ายที่สุดอยู่แล้ว
ประเด็นนี้พูดถึงการเรียนรู้เพื่อจะใช้งานในฐานะผู้ใช้
แต่อย่างนักเรียนควรจะให้มากกว่านั้น
แทนที่จะคิดว่าเกมนี้มันเล่นอย่างไรต้องคิดว่าเกมนี้มันสร้างมาอย่างไร
ความหมายก็คือต้องเริ่มคิดที่จะใช้คอมพิวเตอร์ในการแก้ปัญหาของเรา
แทนที่จะมางมเสียเวลากับการเรียนวิธีใช้คอมพิวเตอร์
ต้องคิดข้ามไปว่าจะใช้คอมพิวเตอร์ช่วยเรียนวิชาอื่นอย่างไร
เป็นที่น่าเสียใจว่ามีซอฟต์แวร์ทางการศึกษาที่ดีๆมากมาย
ลองเดินๆไปดูตามพันธ์ทิพย์พลาซ่า
โดยเฉพาะซอฟต์แวร์พวกนี้ภาษาอังกฤษทั้งนั้นถ้ามีใจรัก
อาจจะทำให้เก่งภาษาอังกฤษขึ้นมาอีกต่างหาก
อ่านเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็มีภาพประกอบให้มากมาย
ส่วนใหญ่มีเสียง ภาพเคลื่อนไหว
ให้ดูอีกต่างหาก
ตรงนี้แหละถึงจะหลุดพ้นขีดจำกัดต้องมาเสียเวลา
ไร้สาระอยู่กับการเรียนวิธีใช้โปรแกรมอยู่
เพราะเมื่อใช้โปรแกรมจำนวนมากขึ้นก็จะรู้ธรรมเนียมวิธีใช้เองโดยอัตโนมัติ
ข้อแนะนำสุดท้าย
การเรียนสมัยนี้คือเรียนวิธีการเรียน
( Learning how to learn ) ไว้เป็นสำคัญ
อย่ามุ่งแต่เนื้อหา
สาระข้อมูลต่างๆมันมากมายมหาศาลและเปลี่ยนแปลงเร็วการเน้นที่เนื้อหาจึงไม่ค่อยจะเป็นประโยชน์นัก
?